วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ข้อจำกัด และ ความท้าทาย

"ข้อจำกัด"ของมนุษย์ มันมีแค่2ตัวเลือกนี้เท่านั้น

จะ "Limit your challenge" หรือ 

จะ "Challenge your limitation"

เรารู้จัก2วลีนี้ จากสมุดจดทำงานสมัยเริ่มทำงานใหม่ๆ มันโดนมาก 

มักถามตัวเองทุกครั้ง เมื่อลังเลในการจะก้าวไปสู่ความฝัน(=สิ่งดีๆที่คาดหวังจะได้ จะทำ) 

...อยู่ที่ตัวคุณเอง...แม้จะจบด้วยสภาพนี้ก็ตาม555

แต่ทุกการท้าทายในข้อจำกัด ควรมีการประเมินความเสี่ยงและเตรียมตัวไว้บ้าง ส่วนตัวไม่สนับสนุนเหตุการณ์"ไปตายเอาดาบหน้า"จะเสี่ยงแค่ไหน ต้องตอบได้ว่า ถ้า...แล้วจะ... จึงจะเป็นวิถีที่ก้าวสู่ความฝันอย่างยั่งยืน

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วาทยากรกับบทบาทการเป็นผู้นำ





บทเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช
"ยิ้มสู้" เป็นบทเพลงที่ฟังแล้วสร้างกำลังใจได้เสมอ

...โลกจะสุขสบายนั้นเป็นได้หลายทาง
ต้องหลบสิ่งกีดขวางหนทางให้พ้นไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
สุขและทุกข์อย่างไรเพราะใจตนเอง
ฝ่าลู่ทางชีวิตต้องคิดเฝ้าย้อมใจ
โลกมืดมนเพียงใดหัวใจอย่าคร้ามเกรง
ตั้งหน้าชื่นเอาไว้ย้อมใจด้วยเพลง
ไยนึกกลัวหวาดเกรงยิ้มสู้
คนเป็นคนจะจนหรือมี
ร้ายหรือดีคงมีหวังอยู่
ยามปวงมารมาพาลลบหลู่
ยิ้มละมัยใจสู้หมู่มวลเภทภัย
ใฝ่กระทำความดีให้มีจิตโสภา
สร้างแต่ความเมตตาหาความสุขสันต์ไป
จะสบความสุขสันต์สำคัญที่ใจ
เฝ้าแต่ยิ้มสู้ไปแล้วใจชื่นบาน...

นอกจากความหมายดีๆของบทเพลงแล้ว
ภาพวงดนตรีออร์เครสตร้าในวิดีโอนี้ยังได้ทำให้ได้เรียนรู้อะไรดีๆ จากภาพด้วย


วาทยกร (conductor) คือคนที่ตีความหมายของบทเพลง 
โดยเห็นภาพรวมทั้งหมดของวงดนตรี มีหน้าที่ดึงความสัมพันธ์ของเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นออกมาเพื่อสอดผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน (ที่มา: wikipedia.com)

นอกจากนี้ ถ้าสังเกตในการแสดงจะเห็นได้ว่า
วาทยายังสามารถควบคุมจังหวะจะโคนของการแสดงให้ 
เร็ว-ช้า หรือ ดัง-ค่อย ได้อย่างง่ายดาย เพราะนักดนตรีเองมีความเชื่อมั่นและ
พร้อมที่จะทำตามผู้นำตามการซักซ้อมและการเตรียมตัวก่อนการแสดงจริง
จึงทำให้การแสดงเป็นไปอย่างราบรื่น


ซึ่งจากแนวคิดทางโลกตะวันตกที่ว่า
"The manager is like a symphony orchestra conductor,
endeavoring to maintain a melodious performance in which 
the contributions of the various instruments are coordinated 
and sequenced, patterned and paced"
(ที่มา: by Leonard Sayles in www.leadershipnow.com)


ฉันใดก็ฉันนั้น "ผู้นำ" จะเป็นผู้ที่เห็นภาพรวมของการดำเนินงาน 
จึงเป็นผู้ทำหน้าที่กำกับทิศทางและจังหวะของการดำเนินงาน
ให้เป็นไปในแนวทางที่กำหนดไว้ร่วมกัน 
บางครั้งอาจจะผ่อนคลาย บางครั้งอาจจะต้องเร่งรัด 
ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
พร้อมทั้งดูแลการทำงานให้สอดประสานในทุกส่วน
โดยที่ผู้ตามเองก็จะต้องรู้หน้าที่
และทำหน้าที่ให้สมกับบทบาทที่ได้รับอย่างถูกต้องและดีที่สุด
เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีคุณภาพและความประทับใจของผู้ปฏิบัติหน้าที่
และผู้ที่ได้นำผลลัพธ์นั้นไปใช้ประโยชน์ต่อไป



วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ธ ทรงเป็นแบบอย่างที่น่ายกย่อง: แซกโซโฟน



ด้วยความที่สนใจดนตรีประเภทแซกโซโฟน (Saxophone) จากการฟังเพลงต่างประเทศเพลงหนึ่ง "The One You Love" จึงทำให้ศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับแซกโซโฟนมากขึ้น ไม่ว่าจากบทความหรือ Youtube

จนกระทั่งได้มาเจอ VDO ตอนหนึ่งซึ่งเป็นพระปรีชาสามารถขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่กำลังทรงแซกโซโฟน

(ขอขอบคุณ มูลนิธิศิษย์เก่าช่างกลปทุมวัน)

เพราะความปลาบปลื้มชื่นชมในพระองค์ท่าน จึงได้ศึกษาพระราชประวัติทางด้านดนตรีของพระองค์ เกี่ยวกับการทรงแซกโซโฟน และทำให้ทราบว่าพระองค์ได้ทรงเริ่มเรียนดนตรีเมื่อพระชนมายุเพียง ๑๓ พรรษา ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งพระองค์ทรงโปรดแซกโซโฟนเป็นอย่างมาก โดยทรงหัดเป่าแซกโซโฟนกับเพลงจากแผ่นเสียงของวงดนตรีที่มีความสามารถ เช่น Johnny Hodges และ Sidney Bechet เป็นต้น จนทรงมีความชำนาญการเป่าไปพร้อมกับการเปิดแผ่นเสียงได้เข้ากันเป็นอย่างดี


นักดนตรีที่มีชื่อเสียงของโลก เดินทางมาแสดงในเมืองไทย 
และได้บรรเลงร่วมวงกับพระองค์ท่าน  
อาทิ Benny Goodman, Jack Teagarden, Lionel Hampton, Stan Getz



ในหลวงทรงล่องเรือเล่นดนตรี บริเวณทุ่งนา รังสิต คลอง ๓
คราวเสด็จพระราชดำเนินประพาสบ้านนาของ 
ตระกูลสนิทวงศ์ ประมาณพุทธศักราช ๒๔๙๙


ยังมีเรื่องเล่า....ครั้งหนึ่งมีโอกาสได้คุยกับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งได้หัดเล่นแซกโซโฟนตอนอายุ 40 กว่าปี  เพราะว่า ได้ฟังเพลงพระราชนิพนธ์อันไพเราะจากผู้พิการทางสายตาที่เล่นแซกโซโฟน จนในที่สุดพี่คนนี้ก็สามารถเป่าแซกโซโฟนเป็น โดยไม่ได้ติดในข้อจำกัดทางด้านอายุเลย

ในเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ 
จึงสามารถกล่าวได้ว่าในหลวงทรงเป็นทั้ง "แบบอย่างที่ดี" ต่อเยาวชนในการศึกษาดนตรีจนทรงมีพระปรีชาสามารถ และยังทรงเป็น "แรงบันดาลใจ" ให้บางคนได้จุดประกายความคิดในการทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยไม่ได้รู้สึกว่าเรื่องนั้นจะเกินความสามารถของพวกเค้าเลย

.
.
.
.
.
.
.

ฝากตอนท้าย

ขอให้มองสิ่งรอบตัว
และนำมาศึกษาเพื่อต่อยอดความรู้อย่างไม่มีวันจบ
เช่น การฟังเพลงแล้วได้ความรู้เรื่องแซกโซโฟน





วันศุกร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2554

ผู้นำที่มีบุญญาบารมี (Charismatic Leader)



ในโลกตะวันตกได้ให้คำนิยามของผู้นำที่มีบุญญาบารมี คือ ผู้นำที่มีอิทธิพลและสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกในกลุ่มได้ ซึ่งจำเป็นต้องมีผู้นำเช่นนี้เป็นอย่างมากเมื่อตกอยู่สถานการณ์ที่ไม่แน่นอน เพราะผู้นำลักษณะดังกล่าวจะเป็นศูนย์รวมทางจิตใจให้คนรู้สึกเป็นที่พึ่งและร่วมแรงร่วมใจกันฟันผ่าอุปสรรค


เมื่อกล่าวถึงลักษณะของภาวะผู้นำที่มีบุญญาบารมี บุคคลแรกที่ระลึกถึงนั้นคือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ด้วยเหตุผลที่พระองค์ทรงมีคุณลักษณะของผู้นำดังต่อไปนี้ คือ


1. Inspiration by Words - สร้างแรงบันดาลใจด้วยคำ
การมีพลังในการสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นการพูดหรือการเขียน ซึ่งพลังดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการใช้เสียงดัง แต่พลังมาจากเนื้อหาที่ผู้นำผู้นั้นกำลังสื่อออกไป
พระราชดำรัสของในหลวงยังเป็นสิ่งที่คนไทยมักจะนำมากล่าวถึงในการอ้างอิง เพราะว่าเป็นสัจธรรมและกินใจเสมอ ดังตัวอย่างพระราชดำรัส “ที่ของข้าพเจ้าในโลกนี้ คือการได้อยู่ท่ามกลางประชาชนของข้าพเจ้า” ซึ่งเป็นประโยคที่ตราตรึงใจประชาชนคนไทยมาจวบจนทุกวันนี้


2. Attractive Personality - มีบุคลิกภาพและอุปนิสัยที่น่าคบหา
การอุปนิสัยที่น่าชื่นชม โดดเด่นในด้านการสร้างสัมพันธภาพ
กรณีของ วาเด็ง ปูเต๊ะ พระสหายแห่งสายบุรี เป็นชาวบ้านที่ในหลวงทรงให้ความไว้วางพระราชหฤทัย โดยทรงตรัสว่า “ไม่ว่าจะไปช่วยใครที่ไหนก็ต้องถามเจ้าของพื้นที่ก่อน…เพราะชาวบ้านจะรู้จริงกว่าคนอื่น” ทรงตรัสให้ความเป็นกันเอง “ให้วาเด็งทำตัวให้สบาย…มีอะไรที่ชาวบ้านเดือดร้อนก็ให้เล่ามาตามความจริง” ซึ่งทำให้ข้อมูลปัญหาที่เป็นความจริงของราษฎรเป็นที่ปรากฏ พระสหายวาเด็งมีความปลาบปลื้มและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณจนแม้จะไม่มีทีวีให้ดู เวลาอยากเห็นหน้าในหลวง ก็จะหยิบเงินมาดู พอมีทีวีแล้วก็จะรอดูแต่ข่าวในพระราชสำนักทุกวัน


3. Good-looking – สง่างาม
ความสง่างามอันเป็นที่ยอมรับนับถือและชื่นชม
พสกนิกรมักจะแสวงหาโอกาสเพื่อออกมาชื่นชมพระบารมี ซึ่งถือว่าเป็นโชคดีครั้งหนึ่งในชีวิตหากได้เข้าเฝ้าละอองธุลีพระบาทแม้ว่าจะไม่สามารถเข้าไปในระยะใกล้พระองค์ก็ตาม


4. Big, exciting Visions – มีวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่***
ความสามารถในการวาดภาพที่สวยงามในอนาคตได้
ในหลวงทรงมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ด้วยโครงการในพระราชดำริต่างๆ ที่รองรับการเปลียนแปลงในอนาคตทั้งสิ้น สิ่งที่พระองค์ทรงงานเพื่อพสกนิกรในอดีตได้บรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เช่น โครงการแก้มลิงที่ช่วยบรรเทาปัญหาน้ำท่วม หรือพระราชดำริที่เน้นซึ่งความยั่งยืนอย่างเศรษฐกิจพอเพียง โดยพสกนิกรที่ปฏิบัติตนตามแนวพระราชดำริล้วนมีกินและมีความสุขอย่างยั่งยืน แม้แต่ชาวต่างชาติที่มาใช้ชีวิตตั้งรกรากในประเทศไทยอย่างมาร์ติน วิลเลอร์ ได้กล่าวว่า “คนไทยโชคดีมากๆ ที่ได้ในหลวงเป็นผู้นำ พระองค์ท่านเป็นคนที่ทำงานหนักมากเพื่อช่วยให้คนคิดได้ ช่วยให้คนอยู่ได้”


ภาวะผู้นำที่มีบุญญาบารมีเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้ติดตัวมาตั้งแต่เกิด แต่เกิดจากการพัฒนาบุคลิกลักษณะของแต่ละปัจเจกบุคคล เท่ากับว่าผู้ใดที่ต้องการมีภาวะผู้นำดังกล่าวก็สามารถเป็นได้ถ้ามีการพัฒนาตนอยู่เสมอ


ที่มาของนิยามและคุณลักษณะของ Charismatic Leadership
www.leadership-with-you.com

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

ภาพประทับใจอันงดงาม




เมื่อกล่าวถึงภาพที่งดงาม ส่วนใหญ่จะบอกว่างามเพราะ
เป็นภาพที่ให้แสงสวย หรือมีความคมชัด
แต่ภาพนี้คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าความงามอยู่ที่
 "เนื้อหา" ของภาพ


นั่นคือ

พระเมตตาขององค์สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล

ที่มีต่อพสกนิกรชาวไทยโดยไม่ถือพระองค์เลย


วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2554

อยู่อย่างจน หนทางสู่การอยู่รอด






แนวคิดเศรษฐกิจพอเพียงอาจจะอธิบายได้ง่ายๆ ว่า


ยังไม่รวย...อยู่อย่างรวย...จะไม่รวย
ยังไม่จน...อยู่อย่างจน...จะไม่จน


"อยู่อย่างจน" 
คำนี้ฟังแล้วดูแปลก แต่หากใช้ใจ ฟังแล้วจะเข้าใจว่า
คือ พลังแห่งการอยู่รอด

เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลงแทบทุกลมหายใจของมนุษย์ บางคนวันนี้ขึ้นรถเมล์ทั้งที่เมื่อวานขี่เบนซ์ นี่หรือคือความยั่งยืนในชีวิต ความเป็นจริงแล้ว สิ่งมีชีวิตบนโลกล้วนที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่ไม่่แน่นอนเหล่านี้ หากแต่เราตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ใช้ชีวิตแบบรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง เราก็จะมีโอกาสอยู่รอดได้


"ถ้าการเปลี่ยนแปลงภายนอกเกิดขึ้นเร็วกว่าภายใน เท่ากับว่าถึงจุดจบอย่างแน่นอน"
Jack Welch อดีต CEO ระดับโลกได้ยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องสำคัญ หากเราไม่รับรู้อะไรเลย ก็เท่ากับว่ากำลังอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการ "เสียรู้" ต่อสถานการณ์ที่ผันผวนอย่างปัจจุบันนี้




ขอยกตัวอย่างในเรื่องเงินๆทองๆ คนที่มีน้อยก็มักจะเก็บหอมรอมริบสะสมจนมีมาก แต่ก็ยังดำรงชีวิตอย่างที่เป็นมา อาจจะเพิ่มขึ้นบ้างตามกำลัง เช่น ตอนเงินเดือน 1 หมื่น นั่งค่ารถเมล์แบบลมโชย เดือนละ 1,000 บาท แต่พอเงินเดือน 20,000 บาท ก็เปลี่ยนมานั่งรถเมล์ปรับอากาศมากขึ้น เดือนละ 3,000 บาท ซึ่งก็จะยังมีเงินเก็บเยอะ ด้วยการประมาณตนเช่นนี้จะทำให้เป็นภูมิคุ้มกันในการอยู่รอดได้ แต่ถ้าจะผ่อนรถยนต์เดือนละเป็นหมื่นก็ต้องเหนื่อยหน่อย ไหนจะค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา เงินเก็บก็จะลดลง ภาระความเสี่ยงก็จะต้องเพิ่มขึ้น


การมี จึงมิใช่สำคัญที่เราหาได้เท่าไหร่ 
แต่มันอยู่ที่เรานั้นใช้ไปและเก็บได้เท่าไหร่มากกว่า

ดังนั้นการอยู่อย่างคนจนที่แท้จริงแล้วคือ การพึ่งตนเอง
และการดำรงชีวิตอยู่บนความไม่ประมาท ไม่ทำอะไรเกินตัว 
หรือ ไม่ทำอะไรที่เสี่ยงต่อต้องเสียสูญกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นนั่นเอง


วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554

คำพ่อสอน: ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน

เมื่อก่อน มักคิดเกี่ยวกับเรื่องราวปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตนเอง ว่าเดี๋ยวมันก็ดีเอง ซึ่งในตอนนั้นไม่เคยได้ลงมือกระำืำทำอะไีรเพื่อแก้ปัญหา หวังแต่จะให้ผู้อื่นมาทำให้หรือให้สถานการณ์มันคลี่คลายไปเอง นึกถึงตอนนั้นชีวิตช่างน่าเบื่อ เพราะเราไม่ได้ใช้ศักยภาพและรู้คุณค่าของตนเองเลย


จวบจนวันนี้ หลังจากเติบโตขึ้นจากประสบการณ์และคนรอบข้างที่คอยให้กำลังใจทำให้สามารถหยัดยืนด้วยขาของตนเองได้อย่างมั่นคง จึงทำให้เมื่ออยากทำอะไรก็ทำด้วยตัวเองได้เลยอย่างภาคภูมิใจ โดยไม่ต้องรีรอ...


"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน" จึงเป็นสิ่งที่ยึดถือมาปฏิบัติใช้ในการดำรงชีวิต ดัง ตอนหนึ่งของพระราชดำรัสในวโรกาสเฉลิมพระชนม์พรรษา 4 ธันวาคม 2541 ที่ในหลวงภูมิพลตรัสไว้ว่า





"....ยืนบนขาของตนเอง (ซึ่งแปลว่า...พึ่งตนเอง) หมายความว่าสองขาของเรานี่ยืนบนพื้น ให้ยืนอยู่ได้ไม่หกล้ม ไม่ต้องไปยืมขาคนอื่นมาใช้สำหรับยืน"


สำหรับตนเองแล้ว มักคิดพิจารณาถึงความสามารถในตนเอง แล้วทำในสิ่งที่ตนถนัดเพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ดีกว่าต้องไปยืนบนขาใครๆ เพราะก็ไม่มั่นใจว่าใครๆ นั้น จะยอมให้เรายืนบนขาพวกเค้าได้อย่างมั่นคงหรือไม่ และได้อีกนานเพียงใด...